วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

In the City of Sylvia (2007) หญิงสาว ความงาม และความรัก

เนื่องจากปีสามมีโอกาสได้เรียนวิชาวิจารณ์ภาพยนตร์
ก็เลยว่าจะเอามาแปะๆ ไว้ลงบล็อก
เผื่อจะมีประโยชน์ต่ออะไรก็ตามที่เป็นไปได้


In the City of Sylvia เป็นผลงานของผู้กำกับชาวสเปนค่ะ
เป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อเรื่องเรียบง่าย (มาก)
แต่ก็โดดเด่นที่งานภาพแหละเนาะ
เราว่ามันไม่ค่อย mass ทำให้เราดูไม่สนุก 55555555


ขอก็อปแปะเป็นพืดแม่มเลยละกัน


สรุปย่อเผื่อขี้เกียจอ่าน
สำหรับการตัดสินใจว่าจะดูดีมั้ย?



- ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันสวยงามของเมือง Strasbourg ประเทศฝรั่งเศส
- นางเอกสวย พระเอกใช้ได้
- พระเอกมาตามหา Sylvia หญิงสาวที่เคยพบเมื่อหกปีก่อน
- แต่การตามหานั้นไม่ได้มีอะไรมาก
- อาจเต็มไปด้วยสัญญะให้ตีความ
- ราบเรียบ เหมือนวิ่งรถเก๋งนิ่มๆ ไปตามถนนราดยาง
- แทบไม่สะดุดเลยจนจบ
- ไม่มีปัญหาเรื่องกำแพงภาษา เพราะมีไดอะล็อกไม่กี่ฉาก


ส่วนนี่เป็นความเห็นส่วนตัว

- แทบหลับแหนะ !!
- ตีความไม่ค่อยออกหรอก แต่ละคนได้ไม่เหมือนกันบ้าง





- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -






In the city of Sylvia

หญิงสาว ความงาม และความรัก










         ผลงานของผู้กำกับสัญชาติสเปน José Luis Guerín ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก ด้วยตัวเนื้อเรื่องไม่มีความซับซ้อน แต่โดดเด่นด้วยการสื่อความหมายผ่านภาพ ถ่ายทอดความสวยงามของเมือง Strasbourg ประเทศฝรั่งเศส ดินแดนแห่งความโรแมนติค




         ภาพยนตร์ใช้สีโทนร้อน สีเหลือง ให้ความรู้สึกอบอุ่น สดใส และสื่อถึงฤดูร้อน เข้ากับเสื้อผ้าที่ตัวละครในเรื่องสวมใส่ เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างไม่หวือหวา แทบไม่มีมิติของอารมณ์มาเกี่ยวข้อง ใช้บทสนทนาเพียงน้อยนิดเท่านั้น การที่ภาพยนตร์แทบไม่มีบทพูดหรือตัวอักษรปรากฎให้เห็น นั่นทำให้ผู้ชมจับจ้องไปที่ “ภาพ” ที่ผู้กำกับละเมียดละไมจัดองค์ประกอบไว้ โดยหลายฉากเป็นการแช่กล้องนิ่งๆ ไว้ยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่งด้วยระยะภาพแบบ Establishing Shot เพื่อจับการกระทำของผู้คนที่ใช้ชีวิตเดินผ่านไปผ่านมา เพื่อแสดงให้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในเมือง ทั้งย่านที่พักอาศัย ย่านการค้า นอกจากภาพแล้ว ความสวยงามยังถูกถ่ายทอดผ่านดนตรีเครื่องสาย ให้ความรู้สึกละมุนละไม กลมกล่อมในความรัก เช่น ฉากไวโอลินในร้านกาแฟ




         เรื่องราวดำเนินไปกับชายหนุ่มไร้ชื่อ ภาพยนตร์ตอกย้ำความเป็นคนแปลกหน้าของเขาด้วยการไม่ตั้งชื่อให้ เราแทบไม่รู้ภูมิหลังใดๆ ของเขา รู้เพียงแต่เขามาตามหาหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ Sylvia เท่านั้น ในฉากเปิด มีกุญแจแปะเบอร์ห้องและแผนที่วางอยู่ในห้อง แสดงถึงความเป็นคนต่างแดนของชายคนนี้ 




         ฉากถัดไปถ่ายทำที่ร้านกาแฟ พื้นที่นั่งดื่มกาแฟเป็นแบบ Outdoor ผู้คนนั่งอยู่เต็มร้าน ชายหนุ่มนั่งมองผู้คนรอบตัว มีการใช้กล้องแทนสายตาคนดู ส่วนมากเป็นผู้หญิง สวมเสื้อสายเดี่ยว มีผู้ชายปะปนมา ดูท่าจะเป็นสามีหรือแฟนหนุ่ม บางคู่คุยกันหัวร่อต่อกระซิก ในขณะที่บางคู่แลดูมึนตึงใส่กันเหมือนกับเพิ่งทะเลาะกัน ฉากนี้น่าจะต้องการถ่ายทอดภาพที่เหมือนจริง บรรยากาศของร้านกาแฟจริงๆ การใส่คู่รักที่ดูเหมือนทะเลาะกันมาทำให้ภาพเหตุการณ์ดู Real มากขึ้น ความไม่สมบูรณ์แบบของความรัก แต่กระนั้นพระเอกก็ยังยืนยันที่จะตามหามันอยู่ดี




         พระเอกเริ่มหยิบสมุดขึ้นมา เขียนว่า “In the city of Sylvia” ซึ่งเป็นชื่อของภาพยนตร์ ทำให้ผู้ชมเริ่มเข้าใจว่า Sylvia มีความเกี่ยวข้องกับตัวพระเอก และน่าจะเป็นผู้หญิงที่ทำให้พระเอกต้องเดินทางมาที่นี่ เขาใช้ดินสอสเกตช์ภาพที่มองเห็นอยู่รอบตัว เป็นภาพหญิงสาวที่มีอิริยาบทต่างๆ ดู สวยงาม และ มีเสน่ห์ ผ่านการถ่ายทอด gesture ของตัวนักแสดง และองค์ประกอบภาพต่างๆ พระเอกหยุดจ้องมองหญิงสาวหลายคน ทำให้ผู้ชมอาจคาดเดาไปต่างๆ นานาใคร ใครคือ Sylvia กันแน่ และจากนั้น เขาก็พบเห็นหญิงสาวในร้านกาแฟ สวมเสื้อสายเดี่ยวสีแดง ทันทีที่เธอลุกออกไปจากร้าน พระเอกก็เริ่มต้นติดตามเธอทันที และทำให้ผู้ชมรับรู้ไปพร้อมกันว่า เธอคือ Sylvia โดยไม่ต้องใช้คำพูดอะไรในการเล่าเลย




         พระเอกเดินตามเธออยู่นาน ฉากนี้ได้เห็นสภาพย่านการค้าในเมือง ทั้งผู้คนที่เดินผ่านไปมา คำพูดที่เขียนอยู่บนกำแพง ร้านรวงต่างๆ คนขายของที่ระลึกที่เดินขายของมาถึงย่านการค้า คนเร่ร่อนที่นั่งดื่มอยู่บนฟุตบาธ หญิงสาวคลาดสายตาจากพระเอกเป็นระยะ แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะติดตามและมองหาอยู่เช่นนั้น ราวกับหลงใหลต้องมนต์ในอะไรสักอย่างมากทีเดียว และทำให้ผู้ชมรู้สึกแน่ใจว่าเธอคือ Sylvia ไม่ผิดแน่นอน




         การ “เดินตาม” ของพระเอกสิ้นสุดลงที่รถราง เมื่อพระเอกได้ตามคนที่เขาเชื่อว่าเป็น Sylvia ขึ้นรถรางด้วย บทสนทนาในภาพยนตร์จึงเกิดขึ้นภายในฉากนี้ โดยพระเอกได้ให้รายละเอียดในช่วงนี้ว่า เขากำลังตามหา Sylvia ที่เคยพบเมื่อหกปีก่อน และเขาเชื่อว่า Sylvia คือเธอ แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับปฏิเสธ และบอกว่าไม่ชอบให้ใครเดินตาม ฉากนี้ทำให้ผู้ชมเกิดความสับสนเช่นเดียวกับพระเอก และในขณะเดียวกันก็ตระหนักได้ถึงพฤติกรรมอันผิดธรรมชาติของพระเอกไปด้วยเช่นกัน ในฉากนี้ ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าความรักนั้นน่าหลงใหล มากเสียจนพาให้พระเอกหลงทางมายังต่างแดนเพื่อค้นหามัน 




         ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ตอบคำถามว่า พระเอกติดตามผู้หญิงถูกคนหรือไม่ พระเอกได้เจอกับ Sylvia ของเขาหรือไม่ ในด้านเนื้อหา ภาพยนตร์ไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่าผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะต้องมนต์รักจากผู้หญิงในเมืองแห่งความรักแบบนี้ แต่ให้ความบันเทิงในด้านรูปแบบ ทั้งองค์ประกอบภาพที่สวยงาม สภาพบ้านเมืองที่มีทั้งจุดดีและจุดด้อย (เพียงแต่ถ่ายทอดจุดด้อยเล็กน้อย เช่น คนขายของนักท่องเที่ยว คนเร่ร่อน) สภาพสังคม ความสัมพันธ์ของผู้คน ความงามของหญิงสาว เพลงประกอบ ทำให้ภาพยนตร์ได้ทำหน้าที่ให้ความเพลิดเพลิน ราวกับพาผู้ชมไปดูงานศิลปะ




         ภาพยนตร์เรื่องนี้มี “ผู้ชาย” เป็นแก่นหลักของเรื่อง และมี “ผู้หญิง” เป็นองค์ประกอบผ่านไปผ่านมาจำนวนมาก ชายคนนี้เสพย์ความงามจากผู้หญิงไปเรื่อย ในขณะที่เขารอคอยที่จะพบกับ Sylvia อาจมองได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ เล่าเรื่อง ผ่านสายตาของผู้ชาย ที่มองผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ มองเพื่อเสพย์ความงาม แต่อีกนัยหนึ่งอาจมองว่าผู้หญิงคือความสวยงามของโลกใบนี้ก็ได้ 




         In the city of Sylvia เป็นภาพยนตร์ที่บรรจุ “ศิลปะ” เอาไว้อย่างเนืองแน่น ขัดเกลาผ่านงานภาพ เสียง องค์ประกอบต่างๆ ในฉาก ถ่ายทอดความงดงามของบ้านเมือง หญิงสาว และความหลงใหลในรักของพระเอกได้อย่างกลมกล่อม เต็มไปด้วยช่องว่างให้จินตนาการ เนื่องจากภาพยนตร์ไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดในประเด็นต่างๆ ทั้งคำตอบของแก่นเรื่องหลัก ทั้งตัวตนที่แท้จริงของตัวละครแต่ละตัวก็ไม่ได้ถูกเปิดเผย ความรู้สึกห่างเหินทำให้เราต้องจินตนาการมากขึ้น และตีความผ่านบุคลิกท่าทาง การกระทำ การแต่งตัวแทน อีกทั้งการใช้บทสนทนาเพียงน้อยนิดนั้น ขับให้งาน “ภาพ” โดดเด่นขึ้นมาอีกมากทีเดียว 





ที่มาข้อมูลเบื้องต้นของภาพยนตร์ : http://www.imdb.com/title/tt0809425/





- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Source Code (2011) หนังย้อนเวลาแนวๆ

วันก่อนนั่งกินปูสามตัว
ด้วยความที่กินยาก จะนั่งจับเจ่ากับมันคงเบื่อน่าดู
เลยเปิดหนังดูไปพลางๆ กะว่าดูเรื่องที่เคยดู (นาน) แล้วนี่แหละ แก้เหงา
ปรากฎว่า เพลินมาก ...กินไปดูไป ปูหมดพร้อมหนังจบ



- SOURCE CODE : แฝงร่างขวางนรก -
(ชื่อไทยแนวแสรด)



เคยอ่านเจอมาว่า การย้อนเวลามีสองแบบ
- กลับไปแก้ไขอดีต
- ย้อนเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคต



แนวคิดของ source code เป็นการย้อนเวลาแบบที่สอง
ซึ่งแนวคิดแม่งแนวๆๆๆๆๆ มากๆ
เครื่อง source code สามารถส่งคนไปในร่างอีกคนของเหตุการณ์
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงแปดนาที
เพื่อรวบรวมข้อมูลในเหตุการณ์ดังกล่าว
นำมาเปลี่ยนแปลงอนาคต



ในภาพยนตร์
พระเอกต้องย้อนกลับไปในรถไฟขบวนเดิม ช่วงเวลาเดิม
และใช้เวลา 8 นาทีที่มีในการเสาะหาต้นเหตุของระเบิด



หนังเล่าสองอย่างไปพร้อมๆ กับ
เหตุการณ์ใน source code และเหตุการณ์ภายนอก
เหตุการณ์ภายใน เป็นการค้นหามือวางระเบิด
ส่วนเหตุการณ์ภายนอก เป็นการค้นหาคำตอบว่าพระเอก 'ติด' อยู่ที่ไหน
(ฮว้าก แนวมาก อยากรู้ทั้งสองเรื่องเลยทีเดียว)



ในเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง พระเอกต้องคลายปมทั้งสองไปพร้อมๆ กัน
ปมหนึ่ง ถูกบังคับให้คลาย
อีกปม เป็นปมที่อยากรู้ด้วยตัวเอง



สิ่งที่เราตั้งคำถามขณะดู คือคำถามเกี่ยวกับองค์กรที่ผลิต Source Code
"ทำแบบนี้ถูกต้องแล้วหรือไม่?"



** ต่อไปจะเป็นการ SPOIL **



Source Code ได้นำสมองส่วนที่ยังใช้การได้ของทหารที่เสียชีวิตไปแล้ว
มาต่อเข้ากับเครื่อง เพื่อใช้ส่งเข้าไปในโลกคู่ขนานต่างๆ
* โดยลบความจำหลังจบภารกิจ *
พระเอก (เจคอะ จำชื่อไม่ได้) ผ่านการทำภารกิจมาถึงสองเดือนแล้ว
แต่ทุกครั้งที่เสร็จภารกิจเขาจะถูกลบความจำ
ทำให้พอต้องปฏิบัติภารกิจใหม่ เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว



มันถูกต้องแล้วหรือที่ไม่บอกความจริง?
การปฏิบัติภารกิจสร้างความเจ็บปวดจากการโดนระเบิดซ้ำๆ เป็นสิบครั้ง
นอกจากนั้นยังเจ็บปวดจากการสูญเสียหญิงผู้เป็นที่ร้าก ที่เข้าไปผูกพันกันใน source code
แถมยังเจ็บปวด เมื่อรู้ตัวว่าตายไปนานแล้วอีกต่างหาก



ความสำเร็จในการยับยั้งอาชญากรของโครงการ Source Code
ย่ำอยู่บนจิตใจทหารคนหนึ่ง ที่ควรจะได้จากไปอย่างสงบ
ต้องสละจิตใจอันบอบช้ำมาเจ็บปวดซ้ำๆ กับภารกิจที่เขาถูกกดดันให้ทำ



นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังใส่ประเด็นเล็กๆ อย่างความสัมพันธ์พ่อลูก สอดแทรกเข้ามา
ซึ่งก็เศร้าอยู่ เพราะเราสงสารพระเอกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่ประเด็นนี้ออกจะเบาบางไปนิด เพราะนอกจากพระเอกร้องหาพ่อทั้งเรื่อง
ก็ไม่ได้มีการชี้ให้เห็นถึงปมในใจเป็นพิเศษ (ไม่ได้ขยี้เท่าที่ควร)
แต่ก็ไม่เบาจนน่าเกลียด ก็เลยเศร้าอยู่ (หน่อยๆ)



ส่วนประเด็นความรักพระเอกและนางเอก
ต้องออกตัวว่า ไม่อินเลย
เพราะเขาเพิ่งมาเจอกัน
นางเอกอาจรักตัวตนที่พระเอกเข้ามาสิง (ตัวตนที่เป็นครู) เป็นทุนเดิม
แต่พระเอกนี่สิมาไม่กี่รอบก็เกิดตกหลุมรัก
อีกนัยหนึ่งอาจจะชี้ให้เห็นว่า ตรุมาบ่อยมาก บ่อยจนชอบอินี่แล้ว
ความรักของทั้งสองก็ไม่ได้มีอะไรมาก ก็ บลาๆๆๆ



ติดอยู่จุดนึง ที่ทำให้หนังเรื่องนี้จบไม่ประทับใจ
คือพระเอกเลือกที่จะติดในโลกคู่ขนานที่ทั้งสองรอดชีวิต
เพื่อได้อยู่กับนางเอก ที่ ...ไปรักเค้าขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
พระเอกต้องสวมร่างใครก็ไม่รู้ไปทั้งชีวิตเลยงั้นเหรอ?
นี่เป็นจุดที่เรานับของเราว่ามัน 'บอด' และ 'น่าเสียดาย' พอสมควร
ถ้าหนังจบดีกว่านี้ อาจจะน่าจดจำมากกว่านี้หน่อยๆ ก็ได้นะ




**** หมดสปอย ****




สรุป



Source Code เป็นภาพยนตร์ที่มีความแตกต่างด้านเนื้อเรื่อง
เล่าได้น่าสนใจ กระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นเกือบตลอดเวลา
อาจมีช่วงน่าเบื่อ วูบๆ ไปบ้าง แต่หนังไปเร็วพอที่จะทำให้ไม่หลับ
มีช่องโหว่บ้าง อะไรบ้าง เป็นสีสันให้ถกเถียงกัน
โดยเฉพาะประเด็นโลกคู่ขนาน :)

แต่มีจุดบอดบางอย่างที่อาจจะทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ถูกจดจำมากเท่าที่ควร



ploynno : 7 / 10


วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หมากัดทำไงดี

เรื่องเล่าต่อไปนี้หวังว่าจะมีประโยชน์
เนื่องจากการบ้านท่วมหัวทำให้มีอารมณ์มาเขียนบล็อก
ละก็รู้สึกแสบแผลยิบๆ ยับๆ ก็เลยมาเขียนแม่ม
บ่นไป ละก็เผื่อว่าใครโดนหมากัด จะได้ตั้งตัวทัน



คำค้นหา:
หมากัดทำไงดี
ต้องไปฉีดวัคซีนเมื่อไหร่
ไม่มีเวลาไปฉีด รอได้มั้ย
ทำแผลยังไงเมื่อหมากัด




เริ่ม




วันนั้นเราก็ มีชีวิตอยู่เหมือนคนทั่วไป
กำลังจะออกไปกินบุฟเฟ่เค้กกับเพื่อนชะนีตามประสาสาวๆ
คาดหวังหนักมาก ใฝ่ฝันไปถึงรสชาติเค้กอันโด่งดัง
ยังไม่ทันฝันจบ ...หมากัด




สารภาพตรงนี้ว่ากลัวหมามาชั่วชีวิต เข้าใกล้ไม่ได้
ถ้าเจอจะเดินหนี... โดนหมาไล่มาบ่อยมาก
หมาคงดูออกแหละว่าเรากลัว




เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนที่หมากัด
เรากำลังนั่งซ้อนจักรยานเฉยๆ เฉยๆ จริงๆ
เราไม่มีทางไปหาเรื่องมันแน่นอนเพราะเรากลัวหมา
อยู่ๆ หมาขนยาวๆ ตัวขนาดกลาง โผล่มาจากไหนไม่รู้
วิ่งเข้ามาหาเราที่นั่งซ้อนจักรยานเฉยๆ
ด้วยความที่กลัวหมา ...เราเลยตัดสินใจถดขาหนี
แล้วตบหลังคนปั่นบอกว่า "เฮ้ย หมา หมา ไปเร็ว"
แต่ทุกอย่างแม่มเกิดขึ้นเร็วมากว่ะ - -
หมาวิ่งมาโดนขาเรา ... เราไม่สามารถหนีได้เพราะคนปั่นไม่ร่วมมือ
แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น "มันงับขาฉัน"
ไม่สะบัดเพราะกลัวแหก (คิดถูกแล้ว) แล้วก็กรี๊ดดังมาก
ตะโกนลั่นว่า "หมากัดชั้น หมากัดช้านนนนน"
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น หันมองกุเป็นตาเดียว (คนเยอะมากพอควร)




แล้วสิ่งที่แฟนเราเลือกทำ (ไม่ค่อยดีเท่าไหร่)
คือให้ตูยืนรอหน้าเซเว่นละมันปั่นจักรยานกลับหอไปเอาเครื่องมือทำแผล
แทนที่จะ ...ซื้อใหม่แล้วทำให้ซะ - - สละความงกซักนิด เราออกเองก็ได้เว้ย
เพราะตอนนั้นมันปวดขาอะ แทบยืนไม่อยู่ แต่ก็ไม่มีที่นั่ง ก็เดินวนๆ รอในเซเว่น
เลือดกับน้ำลายหมาเหนียวๆ ไหลถึงพื้นรองเท้า ...เป็นภาพน่าประหลาด
รออยู่ซักครู่(ใหญ่ๆ) เขาก็มาพร้อมแอลกอฮอล์ เบตาดีนไก่กา ปลาสเตอร์
จัดการเช็ดรอบแผลด้วยทั้งสองอย่าง ทำเท่าที่มีปัญญาทำ
ด้วยความที่ถลอกรอบแผลนิดหน่อย ละก็มีรอยเล็กๆ รอยนึง
ก็ไม่ได้สนใจอะไร ...ใครถามก็บอกเป็นแผลถลอก ถากๆ นิดหน่อย
เพราะแฟนทำแผลให้ ละบอก แผลนิดเดียวเองร้องยังกับจะเป็นจะตาย(ค่ะดีออก)
เลือดไหลเยอะพอสมควร เลือดพุ่งปุ่ยๆ ออกมาเรื่อยๆ ไม่เจ็บมาก
แต่เลือดเหนียวเหลือเกินรำคาญ ....คนที่เห็นก็คงจะรู้สึก พะอืดพะอม
ดูสกปรกเหลือเกินแม่นางนี่ อะไรงี้




ตอนนั้นเราไปล้างแผล (โดยคุณแฟนที่เป็น ...อย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับหมอพยาบาลเลย)
ฉีดยาทันทีเลยไม่ได้ แต่ทราบว่าหมาตัวนั้นไม่มีเจ้าของแน่นอน เพราะคนแถวนั้นเดินมาบอกว่า
เค้าแค่ให้ข้าวมัน แต่ไม่ได้เลี้ยงมัน ...(อืม ถ้าช่วยได้แค่นี้ป้ากลับไปผัดข้าวต่อเถอะ)
เราก็ไม่ได้อะไร ยังไงก็ฉีดแน่อยู่แล้ว จะหมามีไม่มีเจ้าของฉีดยาอย่างดีแค่ไหน
ระหว่างรอแฟนเลิกเรียน เราไม่อยากหอบขาปวดๆ ไปหาหมอคนเดียว
ก็เลยนั่งหาข้อมูลว่า ...หลังถูกกัดควรฉีดวัคซีนในกี่ชั่วโมง
- ถ้าเชื่อถือได้ : 72 ชั่วโมง -
ทั้งนี้ทั้งนั้น อยากให้ไปในวันนั้นเลยนะ ยังไงก็ต้องทำแผล น้ำลายหมามันเชื้อโรคเยอะ




สรุป: วิธีการปฐมพยาบาลเมื่อถูกหมากัด
1.ล้างแผลด้วยน้ำเปล่าและน้ำสบู่และน้ำเปล่า
2.เช็ดให้สะอาดสวยงามด้วยผ้านุ่มๆ บางเบา
3.เช็ดแอลกอฮอล์รอบแผล
4.เอามันไปเทไว้สถานพยาบาลเพื่อทำแผลและฉีดยา




ในวันนั้นเราตัดสินใจ(ยังไงก็ไม่รู้)ถ่อไปถึงสถานเสาวภา
ขึ้นรถตู้ 40 บาทไปอนุแล้วต่อรถเมล์ 11 บาทไปลงจามสแควร์




วิธีเดินทางจาก อนุสาวรีย์ -> สถานเสาวภา
- นั่งรถเมล์จากเกาะพญาไท,เซนจูรี่
- รถเมล์คันใดๆ ที่เขียนว่าไป mbk / ฬ / จามสแควร์
- นั่งจนเกือบถึงจามสแควร์ จะเป็นป้ายวิทยากับ...ป้ายอะไรไม่รู้
- เดินเลี้ยวซ้ายไปทางจามแสควร์ เดินอีกนิด
- ถึง สภากาชาดไทย และ สถานเสาวภา ตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า




ทำไมถึงไปสถานเสาวภา?
- เพราะโรงพยาบาลแถวนั้นไม่สะดวก
- โรงพยาบาลใหญ่กลัวคนเยอะ รอนาน
- สถานเสาวภาขึ้นชื่อเรื่อง ...พิษจากสัตว์นั่นแหละ
- มั่นใจว่าตังค์ในกระเป๋าคงพอจ่าย




เมื่อไปถึงสถานเสาวภา พบว่า ไม่มีคนเลย เราสามารถทำบัตรผู้ป่วย
แล้วไปพบแพทย์แอนด์พยาบาลได้เลย
จากการดูแผลภายนอก หมอบอกว่า ไม่ลึกเท่าไหร่
เดี๋ยวฉีด เซรุ่ม,พิษสุนัขบ้า และ บาดทะยักให้
โดยต้องฉีดเซรุ่มตามน้ำหนักตัว (หนัก 55 โดนไป 3 โดส)
พิษสุนัขบ้าเข็มแรกและบาดทะยักตามลำดับ




การฉีดยา! (ที่หลายคนและเรากลัวมากๆ)
1.ฉีดเซรุ่มม้าเข้าต้นแขน เพื่อดูว่าแพ้รึเปล่า รอผลราว 15 นาที
2.ฉีดบาดทะยักเข้าต้นแขนข้างนึง (กระจอก)
3.ฉีดพิษสุนัขบ้าเข้าต้นแขนอีกข้าง (กระจอก)
4.ฉีดเซรุ่มเข้าที่สะโพก (ก็ไม่เท่าไหร่ แต่แทงลึกเหลือเกิน)
5.ฉีดเซรุ่มเข้าแผล (ไม่แน่ใจตรงหรือขอบ) อันนี้เด็ด




หลังจากทะยอยฉีดสี่เข็มแรกเข้าร่างกายอย่างเมามันส์
วิธีที่ทำให้กลัวน้อยลงคือหายใจเข้าลึกๆ แล้วท่องคาถาชั่งแม่ม
สุดท้าย ..ก็ถึงคิวฉีดเซรุ่มเข้าตรงปากแผล โชคดีที่เป็นแค่รูเดียว
ก่อนจะฉีด คุณพี่พยาบาลก็ทำความสะอาดและเช็ดเลือดตรงปากแผล
เจ็บ เจ็บกว่าหมากัด เจ็บจนอึ้งทึ่งเสียว เจ็บจนต้องร้องระงมอมทุกข์




"อ้าว แผลลึกเป็นนิ้วเลยนี่ ดูสิหมอ" พยาบาลพูดกับหมอ
เท่านั้นแหละครับ ทรุด คาเขียง จากที่เจ็บมาก ก็เจ็บมากกว่าเดิม
จากที่กลัวมาก ก็กลัวมากกว่าเดิม แน่นอนเพราะยังไม่ได้ฉีดเข้าแผล
ความรู้สึกคืออยากจะกลิ้งลงจากเขียงแล้ววิ่งไปให้ไกลที่สุด




ปากแผลเล็กมากๆ เส้นผ่าศูนย์กลางสามสี่มิลเองมั้ง
แต่แผลลึกเป็นนิ้ว ...2.14 ซม. ถ้าไม่ได้เพ้อเจ้อ
นึกโกรธแฟนมากที่เที่ยวบอกใครต่อใครว่าแค่ถลอก
เจ็บปวดยิ่งกว่านั้น ...โดยเฉพาะเมื่อรู้ความจริง =[]=




แล้ววินาทีที่ยิ่งใหญ่ก็มาถึง เราหันไปเห็นเข็มพอดี ยาวมาก
หลับตา จิกหมอนแรงๆ หายใจลึกๆ กลัวมากเพราะทำแผลเมื่อกี้ว่าเจ็บแล้ว
แล้วมันก็มาถึง ...เข็มยาวๆ น่าจะจิ้มเข้าไปในรู เจ็บจนลืมว่าเจ็บ
ปวดเหมือนตอนที่ตะคริวกินน่อง เธอนึกออกไหม ปวดเบอร์ไหน
รู้สึกเหมือนมีอะไรความดันสูงๆ ดันเข้ามาในแผล ปวดจนร้อง
หลังจากโดนสำเร็จโทษคาเขียง ทำแผลโดยการยัดไซริงลงแผล
ฉีดน้ำเกลือล้างฉ่อกๆ ใส่ผ้าก๊อซอาบเบตาดีนยัดลงแผล
ทำการปิดแผลเรียบร้อย ...ก็ออกไปเสียทรัพย์ค่ะ




เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยของเราไม่มีบัตรประกันอุบัติเหตุให้(มั้ง)
จึงต้องทำการ สำรองจ่ายเอง ไปก่อน ซึ่งค่ารักษาบอกเลยว่า ...ไม่พอจ่ายค่ะ
ตอนวิ่งหาตู้กดตังค์กันหนักมาก 55555




สรุปค่าเสียหาย:
ค่ารักษา: 50
ค่าใบรับรองแพทย์: 20
ค่าวัคซีนพิษสุนัขบ้า: 350
ค่าเซรุ่ม: 1,950




หลังจากนั้นก็ต้องคอยล้างแผลทุกวัน ...ซึ่งสถานีอนามัยแถวบ้านคุณสามารถทำได้
โรงพยาบาลเอกชน ...แพงมาก ไม่จำเป็นจริงๆ ไม่แนะนำ ไปโดนมา 700 (ขี้เกียจบ่น)
โรงพยาบาลรัฐ ...ไม่แพง รอนานนิดหน่อย แล้วแต่วันเวลาสถานที่
คลินิกแถวบ้านคุณ ...น่าจะไม่เกิน 100-200 อยู่ในราคาที่สู้ไหว ในกรณีจำเป็น
ส่วนเราทำที่ห้องอนามัยในมอ ซึ่งฟรีและฝากชีวิตได้อย่างสม่ำเสมอ
แต่วันหยุดก็ต้องไปหาทำที่อื่น ค่อนข้างลำบากชีวิตเหมือนกัน
- ถ้ามีประกันอุบัติเหตุอย่าลืมขอใบรับรองแพทย์พร้อมใบเสร็จทุกครั้ง -




เสต็ปการล้างแผลก็คล้ายๆ เดิม
ฉีดน้ำเกลือลงไป พยาบาลบางท่านอาจแหย่คอตตอนบัตเข้าไปเช็ดเลือดเช็ดหนอง(เจ็บสึส)
ยัดผ้าก๊อซไส้ไก่ชุบเบตาดีนลงไปในแผล(เจ็บเจี้ยๆ) ถ้าปากแผลแคบ ...หึหึหึ เจ็บโป้ด
จากนั้นก็ปิดแผล แฮปปี้คนเลี้ยงหมู ...ทำแผลเสร็จใหม่ๆ อาจจะเดินช้านิดนึง เพราะเจ็บ




เราโดนหมากัดมาจะสองอาทิตย์แล้ว
แต่พี่พยาบาลบอกว่า แผลมันยังลึกอยู่เลย T_T เน่านิดๆ ด้วยเพราะโดนน้ำ
โดนพี่พยาบาลเตือนว่า ถ้าปากแผลแคบๆ แบบนี้ มันอาจจะปิดก่อน
แล้วเนื้อข้างในจะเน่า จะไม่เต็ม อาจจะต้องกรีดปากแผลนะ
ก่อนกรีดปากแผลหนูขอกรีดร้องก่อนเถอะค่ะ -[]- ''




= สรุป =
โดนหมากัดก็ไม่มีอะไรมาก ทำตามที่บอก
อ้อ อย่าลืมฉีดวัคซีนกระตุ้นพิษสุนัขบ้านะจร๊ะ
ห้าเข็ม ...เราโดนกัด วันศุกร์
เข็มที่ 2 = วันจันทร์ (วันที่ 3)
เข็มที่ 3 = วันศุกร์ถัดมา (วันที่ 7)
เข็มที่ 4 = วันศุกร์ถัดมาอีก (วันที่ 14)
เข็มที่ 5 = วันที่ 28 นะจ๊ะ
พยายามฉีดให้ครบ ไม่สิ สามเข็มแรกต้องฉีด
ถ้าไม่รู้ชะตากรรมหมาที่กัด ฉีดห้าเข็มนะ ต้องฉีด
ถ้าไม่อยากบ้า TT^TT มันน่ากลัวจริงๆ ถึงชีวิตเลยนะ
โดนกัดปุ๊บรีบไปฉีดยาทำแผลภายในวันนั้นเถอะ
น้ำลายหมามันสกปรก ...แผลอาจจะติดเชื้อได้




ขออวยพรให้ทุกคนที่โดนหมากัดโชคดีและหายเร็วๆ นะคะ
เริ้บ - <3


วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

EDEN LAKE (2008) นรกยาวชั่วโมงครึ่ง

มีหลายเหตุผลที่จะเลือกหนังมาดูช่วงบ่าย
พร้อมกับข้าวกล่องเซเว่นที่เวฟมาร้อนๆ 
หนักเบาไม่เกี่ยวกับวันนี้ ...ก็เลยเลือกดู Eden Lake
ที่มีรุ่นพี่เคยแนะนำว่า ลุ้นแน่นอน อะดรีนาลีนหลั่ง 55
ตามนั้น ...ก็เลยเปิดดูคู่กับอาหารกลางวันซะเลย



ดีนะกินหมดก่อนมันจะขับรถไปถึงทะเลสาบ







คุณอาจเคยได้ยินคำพูดล้อเลียนหนังสยองขวัญว่า
การกระทำโง่ๆ ของตัวละครมักนำไปสู่ความซวย
ทริปนี้ก็เช่นกัน สตีฟกับเจนคู่รักข้าวใหม่ปลามัน(?)
ไปเที่ยวกันที่ทะเลสาบที่สตีฟเคยชอบไป



แต่... พอไปถึง "อีเดนเลคบ้าอะไรวะ?" (สตีฟ, 2008) 



เกริ่น : ถ้ายังไม่ได้ดู แล้วถามว่าดูดีมั้ย ? ดีนะ ดูเพลินๆ 
แรกๆ ให้ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น พอหลังๆ ก็ลุ้นไปกับตัวละคร
ไล่ล่ากันในป่า มีเลือด มีแผล ...แล้วชอบมั้ยล่ะ?
ชอบก็ดู ไม่ต้องคิดอะไรมาก ตัวหนังอาจจะไม่เมคเซ้นส์มากในบางฉาก
แต่ก็กลบด้วยประเด็นอื่นๆ จนดูไม่น่าเกลียด บาทเดียวดูเพลิน



IMDB: 6.9/10



เราอาจเคยชินกับพฤติกรรม เดินหน้าไปไม่มีถอยหลังในหนัง
แต่ชีวิตจริงคิดว่าคงจะไม่ใช่แบบนั้นหรอกเนอะ ...



วันหยุดที่แสนสบาย เขาและเธอได้ตัดสินใจไปเที่ยวกันในที่ๆ หนึ่ง
ซึ่งครั้งหนึ่งสตีฟเคยไปและชอบที่นั่นมากๆ เขาก็อยากให้เธอได้ไปอยู่ด้วยกัน
แต่ว่า ...พอขับรถมาถึงเมืองๆ นี้ ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ 
ผู้คนที่ไม่เป็นมิตร ผู้ปกครองปล่อยให้ลูกออกมาเล่นโหวกเหวกกลางดึก
การสั่งสอนลูกในรูปแบบที่ไม่ควรจะเป็น 







เลือกจะปล่อยวางแล้วไปยัง ทะเลสาบ ที่เป็นเป้าหมายเช่นเดิม
โดยเดิมที่จากที่สตีฟบอกมันเคยเป็น เหมืองอะไรซักอย่าง มาก่อน
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันได้เปลี่ยนเป็น Eden Lake แล้ว 
เมื่อไปถึงชายหาด ก็เป็นเวลาของ ชายหญิง จู๋จี๋ สวีวี่วี กันตามปกติ(รึเปล่า)
ไม่นาน ก็มีเด็กวัยรุ่นตอนต้น-กลางกลุ่มหนึ่งมาปักหลักใกล้ๆ พวกเขา
พร้อมกับเริ่มก่อกวนด้วยวิธีต่างๆ 



การรบกวนของวัยรุ่นกลุ่มนั้นทำให้เจนต้องจนใจยอม...
เขาขอร้องกลายๆ ว่าให้สตีฟพาไปที่อื่น พลางถอนหายใจบ่นใส่เขา
แต่สตีฟกลับไม่คิดยอมความเหมือนเธอ เลยตัดสินใจเดินไปตักเตือน
ผู้ใหญ่ เตือน เด็ก อย่างน้อยก็น่าจะขอโทษขอโพยตามระเบียบกันบ้าง
แต่ไม่ใช่กับ Brett and his friends ซึ่งร้ายกาจกว่านั้นมาก พวกเขาตอบโต้ด้วยวิธีที่แย่
สตีฟก็โมโหไปสิครับ
เจนอยากจะให้สตีฟยอมๆ ความไปซะ แต่สตีฟยืนยันว่าไม่



"ผมจะไม่แพ้เด็ก 12 พวกนี้หรอกนะ" 



การก่อกวนยังไม่สิ้นสุดเมื่อพวกเขากลับไปที่รถเพื่อจะขับไปทานอาหารเช้า
รถถูกเจาะยาง สตีฟหัวเสียอย่างถึงที่สุดพร้อมที่จะเอาเรื่องให้ได้
(ซึ่งถ้าเป็นชีวิตจริงเราคงกลับบ้านไปแล้วนั่นแหละนะ)
พอขับรถเข้าเมือง ร้านอาหารก็เจอคนพูดจาไม่ดีแปลกๆ แต่กลับไม่ฉุกคิดอะไร
ไปเจอบ้านเจ้าหนู Brett โดยบังเอิญ ก็มุ่งเข้าไปเอาเรื่อง 
แต่พอเจอ Brett ใหญ่ (คนพ่อ) เข้ามาพูดจาแบบฉุนเฉียวมาก
ทีนี้แหละสตีฟก็เริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถอยกลับ



สตีฟกลับไปที่ทะเลสาบอีกครั้งอย่างไม่เกรงกลัว(?)
รุ่งเช้าต่อมา รถก็ถูกขโมยไป ด้วยความอยากได้ของคืนและอยากแก้แค้น
ทำให้เขาพลั้งมือฆ่า มะหมา ของเด็กกลุ่มนั้นตายไป 



และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของ "ของจริง"
ต่อจากนี้จะเป็นสปอยกั๊บบบ




.
.
.








สตีฟ ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ใหญ่ธรรมดา เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เหนือไปกว่าเด็กที่ไม่ได้เป็นเด็ก
เบร็ตเลือดเย็นมากพอที่จะต่อกรกับผู้ใหญ่ตัวเท่าสตีฟได้อย่างไม่เกรงกลัว
มีไม้เด็ดสาระพัดมาทำให้ผู้ใหญ่สองคนจนตรอก พร้อมลูกน้องเชื่องๆ เป็นบริวาร



เจน ที่ปูพื้นนิดหน่อยว่าเป็นครู(เด็กเล็ก) แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย 
ครูอาจจะดุนักเรียนที่อยู่ในการดูแลของตัวเองได้ หรืออาจสั่งสอนเด็กปกติคนอื่นๆ ได้
แต่ไม่ใช่เบร็ต เบร็ตไม่ใช่เด็กธรรมดา



แท้จริงแล้วเขาไม่สามารถสู้เด็กอายุสิบสองพวกนั้นได้ซักนิด
สุดท้ายสิ่งที่ทำได้เหลือเพียง ร้องขอชีวิต กับขอให้แฟนช่วยเท่านั้น
เหลือเพียงร่างที่ถูกแทงจนพรุน เอาตัวรอดไม่ได้ ปกป้องผู้หญิงไม่ได้








บรรยากาศในเรื่องถูกคุมให้ดูมืดจนถึงมืดที่สุด 
จนบางฉากมองเห็นแต่หน้าตัวเองที่สะท้อนจากจอ 555
การไล่ล่า ...อาจจะไม่ได้กระชากลมหายใจทุกวินาที
แต่ก็ตื่นเต้นมากๆ หลายฉาก เอาใจช่วยเจ๊เจน สาวโหดให้หนีรอดมาได้
ถ้าวาดกราฟ ก็คงจะเหมือน หัวใจพองโตขึ้นสูง แล้วร่วงลงมาหดหู่ต่ำสุด
เป็นแบบนี้สลับไปเรื่อยๆ เหมือนคลื่นหัวใจ
ให้ความหวัง แล้วก็ทุบความหวังให้เป็นรอยร้าว แต่ไม่ถึงกับแตกกระจาย
จนกระทั่งถึงฉากสุดท้าย ...ที่ความหวังนั้นได้แตกกระจายลงไปจริงๆ 







เราว่าของจริงไม่ใช่ช่วงเวลาของพระเอก แต่เป็นการหนีของนางเอก
ทุกแผลนางเอก ทุกสัมผัส ทุกกลิ่น ทุกมุมมองการวิ่งหนี
ทำให้เรารู้สึกวิ่งไปกับนางเอกด้วย รู้สึกเหมือนถ้าหยุดก็ต้องตายไปด้วยกันนี่แหละ 555
ระดับความบีบคั้นอาจจะไม่ได้ถึงกับเต็มขีดแต่ก็มากพอที่จะทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง
ฉากที่เราว่า หนักจนเราไม่สามารถเปิดตาดูได้ คือฉาก เสี้ยนตำเท้า
กับฉากกระโดดลงไปหลบในถังขยะสด คือดูแล้วเหม็นตามจนแทบอ้วก
ไม่รู้ว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้อินได้ขนาดนั้น 







ฉากที่รุนแรงสุดๆ สำหรับเราคือฉากเผา แล้วจับเจ้าหนูอดัม "ยืนยาง" ย่างทั้งเป็น
เธอตัดใจวิ่งหนีไปได้อย่างอาจหาญ เคล้าเสียงร้องแหลมของเด็กที่โดนย่าง
แต่ถึงกระนั้น ...



การหลบหนีของนางเอกก็ยังคงเสมือนหนูติดจั่น ลื่นไหลไปได้พักก็กลับมาปะจระเข้เจ้าเก่า



จนกระทั่ง ฉากที่เธอหนีออกมาโดยการขโมยรถของคุณพี่ชายไปได้
ฉากที่เธอมุดรั้วออกมา จนถึงฉากที่เธอขับมาถึงถนนใหญ่
ดนตรีราวกับฉลองชัย คนดูหลายคนก็คงได้ถอนหายใจยาว
แต่ ...ก็คงมีหลายคนที่เดาได้แหละ (มันดูเดาไม่ยากขนาดนั้น)
ว่าเธอหนีจากจระเข้รุ่นเล็ก มาเจอกับจระเข้ของจริง รุ่นใหญ่



ทีแรกเราก็คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเปลี่ยนชีวิตนางเอกไปตลอดกาล
แต่ไม่แหะ ...เพราะสุดท้ายเธอก็ไม่รอดจนได้ 







ความโหดร้ายของตอนจบคือ การให้ความหวัง 
คิดว่ารอดแน่ๆ แล้ว ล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าด้วยความโล่งใจ
การกระทำที่ เหมือนจะดี ของเหล่าผู้ช่วยเหลือ ...ถูกแปรเปลี่ยน
เธอฆ่าลูกๆ ของพวกเขา



(สาสมดีแล้วว้อยยยยยย :ตรูเองแหละ) 



จนจบ ...
นางเอกไม่ได้รับความยุติธรรมซักนิด
ทำให้เราพาลคิดว่า เด็กมันก็ไม่ได้น่าเอ็นดูขนาดนั้น
คำว่าสถานพินิจมันช่างเบาเหลือเกินเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทำ
สถาบันครอบครัวได้ทำลายเด็กพวกนั้นจริง
แต่จะไม่มีสำนึกความเกรงกลัวต่อบาปในใจหน่อยหรือ
ถ้าไม่มี ...โทษแค่นั้นไม่เพียงพอสำหรับพวกหนูหรอกเนาะ 








ไอ้เด็ก Brett หัวโจกตัวร้าย ดวงตาไร้แววเมตตามากๆ 
เด็กที่แสดงคือ เก่งมาก หรือ ร้ายมาก เล่นสะเรากลัวไปเลย
เหล่าวงวานของน้อง ...ก็ดูปกติ มีสำนึก มีความกลัวอยู่ในใจบ้าง
แต่ยัยหนูเพจนี่สิ ยากที่จะเข้าใจเหลือเกิน เพราะแกเล่นมีหน้าเดียว
จนสุดท้าย กว่าเธอจะตัดสินใจรู้สึกกลัว ก็สายไปเสียแล้ว
เจ๊เจนแค้นจนเกินกว่าจะลงมานั่งฟังความในใจหนูก็เลยชนซะกระเด็นไป



เด็กๆ หลายๆ คนน่าสงสาร เพราะต้องทำตามที่เพื่อนสั่ง
ไม่อย่างงั้นก็กลัวเจ็บตัว หนักสุดคือกลัวตาย กลัวเพื่อนของตัวเอง
ที่ตัวไม่ได้ใหญ่กว่าตัวเองซักเท่าไหร่ ฆ่าตายซะ ...มันน่าเศร้านะ 



แต่สุดท้ายแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ใช่โศกนาฏกรรมเด็ก
แต่เป็นโศกนาฏกรรมของ "เจน" โดยแท้ 
อยากจะยืมหนังชื่อ "โชคดีที่ตายก่อน" มาพูดถึง "สตีฟ" จริง



คะแนนเรา 7/10
ชอบฉากจบที่ทำให้เราไม่มองโลกในแง่ดีเกินไป จบแบบเจ็บๆ บ้างก็ดี
เพราะชีวิตมันก็ต้องเจ็บบ้างจริงๆ นั่นแหละ (แต่ไม่ต้องเจ็บขนาดนั้น 555)



แล้วก็ ...ที่ๆ มันแปลกก็อย่าไปเที่ยวกางเต๊นท์นอนแก
คือแบบ ใครดูแลบริเวณนั้น ใครรักษาความปลอดภัย 
อย่าคิดว่าเอาตัวรอดได้ถ้าชีวิตยังไม่เคยเจอของจริงดิ



รักนะ
แคร์ด้วย



your troublemaker
if it has a mistake, apologise to you, reader.